เมื่อถึงช่วงเปลี่ยนของฤดูกาล มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ร่างกายต้องปรับอย่างรวดเร็วเพื่อรับกับอุณหภูมิภายนอก อาจจะทำให้เกิดโรคได้ โดยโรคที่คนส่วนใหญ่มักจะประสบปัญหาเป็นประจำ คือ โรคหวัด ซึ่งการรับประทานผลไม้เป็นประจำและปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกาย จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ป้องกันโรคหวัดได้ดี เนื่องจากผลไม้อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินซีที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหวัด และช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรคต่างๆให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี
วันนี้ ทาง iHealth Nurse Care จึงขอนำบทความดีๆ เกี่ยวกับ 5 ผลไม้กระตุ้นภูมิในร่างกาย ป้องกันเชื้อไวรัสมาฝากท่านผู้อ่านนะคะ

5 ผลไม้กระตุ้นภูมิในร่างกาย ป้องกันเชื้อไวรัส
มะขามป้อม
โดยมะขามป้อมจะมีรสฝาดอมหวาน และมีวิตามินซีสูงมาก ที่สำคัญคือคงสภาพอยู่ได้นาน ทำให้ต้านหวัดและไวรัสโควิด-19 ได้อย่างดี นอกจากนี้ในมะขามป้อมยังมีสารแมงกานีส สังกะสี ฟอสฟอรัส และเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย และทำหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยต้านไวรัสทางเดินหายใจ และกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ทำงานดีขึ้น
ฝรั่ง
ผลไม้ชนิดที่ 2 ที่ช่วยต้านไวรัสคือ “ฝรั่ง” รู้ใช่มั้ยคะว่าฝรั่งมีประโยชน์มากมาย ทั้งมีวิตามินและแร่ธาตุสูงมากๆ ที่สำคัญมีวิตามินซีสูง ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ ลดริ้วรอย และกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ต้านไวรัสทางเดินหายใจ และยังช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้กำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ดีอีกด้วย รีบไปร้านผลไม้เลยจ้า แต่ถ้าใครไม่มั่นใจในการซื้อผลไม้ที่ตลาดมารับประทาน ล้างให้สะอาดก่อนรับประทานด้วยนะคะ
ส้ม
ลำดับถัดมาคือ “ส้ม” อีกหนึ่ง “ผลไม้ต้านหวัดและโควิด-19” โดยส้มจะให้รสชาติที่ไม่เปรี้ยวจนเกินไป แต่จะมีรสหวานอมเปรี้ยวและมีวิตามินสูง โดยเฉพาะวิตามินซี ที่ช่วยต้านไวรัสทางเดินหายใจอย่างหวัดและโควิด-19
มะยม
“มะยม” ผลไม้แก่สีเหลืองหรือขาวแกมเหลือง ที่เนื้อฉ่ำน้ำ ก็เป็นหนึ่งผลไม้ที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น โดยรสชาติที่เปรี้ยวอมฝาด และมีวิตามินซีสูงจะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการติดเชื้อทางเดินหายใจ และต้านการอักเสบได้
ลิ้นจี่
ผลไม้ลำดับสุดท้าย คือ “ลิ้นจี่” ผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ช่วยเพิ่มพลังให้กับร่างกาย และกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และที่สำคัญประโยชน์ของลิ้นจี่ ยังช่วยลดหรือแก้การติดเชื้อในลำคอที่มีสาเหตุจากไวรัสด้วย
ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก
ไทยรัฐออนไลน์ และ
กองหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ